views

ภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มโดยไม่สามารถเรียกเอกสารหลักฐานมาตรวจสอบได้

วันที่: 29 มิถุนายน 2547
เลขที่หนังสือ

กค 0706/พ./6148

วันที่

29 มิถุนายน 2547

ข้อกฎหมาย

มาตรา 87/3

เลขตู้

67/33012

ข้อหารือ

     1. ห้างฯ จดทะเบียนนิติบุคคล เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2529 เดิมสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่จังหวัด
ก. สาขาที่ 1 ตั้งอยู่จังหวัด ข. สาขาที่ 2 ตั้งอยู่จังหวัด ค. ห้างฯ ได้ยื่นแบบคำขอยื่น
แบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มรวมกัน (ภ.พ.02) ต่อสำนักงานสรรพากรพื้นที่ ก. เมื่อวันที่ 5
กันยายน 2538 เพื่อขออนุมัติยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีมูลค่าเพิ่มรวมกันที่สำนักงานใหญ่ และได้
รับอนุมัติตามคำขอเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2538 โดยห้างฯ สามารถยื่นแบบ ภ.พ. 30 รวมกัน ณ
สำนักงานใหญ่ตั้งแต่เดือนภาษีตุลาคม 2538 เป็นต้นไป ต่อมาเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2540 ห้างฯ ได้ยื่น
แบบแจ้งการเปลี่ยนแปลงทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.09) ขอย้ายสำนักงานใหญ่มาอยู่ ณ ที่ตั้งของ
สาขาที่ 2 กรณีทำให้ห้างฯ เหลือสาขาที่ 1 เพียงแห่งเดียว
     2. เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2539 ห้างฯ ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.30)
เพิ่มเติมสำหรับเดือนภาษีตุลาคม 2538 ถึงเดือนภาษีกุมภาพันธ์ 2539 โดยขอคืนภาษีเป็นเงินสด รวม
จำนวนทั้งสิ้น 150,625.32 บาท ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่ ก. แต่เนื่องจากห้างฯ ได้ย้าย
สำนักงานใหญ่มาอยู่ที่จังหวัด ค. สำนักงานสรรพากรพื้นที่ ค. จึงได้ส่งแบบ ภ.พ. 30 ฉบับดังกล่าวให้
สำนักงานสรรพากรพื้นที่ ข พิจารณาคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่ห้างฯ เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2545
     3. เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2546 สำนักงานสรรพากรพื้นที่ ค. ได้เชิญพบ หุ้นส่วนผู้จัดการ
เพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการติดตามทวงถามการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มและการขอเอกสาร
เพิ่มเติม และ ได้ชี้แจงว่า ห้างฯ ได้ยื่นแบบ ภ.พ.30 เพิ่มเติมสำหรับเดือนภาษีตุลาคม 2538 ถึง
เดือนภาษีกุมภาพันธ์ 2539 โดยขอคืนภาษีเป็นเงินสด ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่ ก. และหลังจากนั้น
ห้างฯ ได้ให้สำนักงานบัญชีดำเนินการให้แก่ห้างฯ โดยสำนักงานบัญชีไม่ได้แจ้งผลการพิจารณาการคืน
ภาษีมูลค่าเพิ่มให้ห้างฯ ทราบ จึงทำให้ห้างฯ ไม่ทราบว่าห้างฯ ได้รับคืนภาษีมูลค่าเพิ่มตามที่ได้ยื่นแบบ
ภ.พ.30 เพิ่มเติมเพื่อขอคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มในเดือนภาษีใด ห้างฯ ทราบว่ายังมิได้รับคืน
ภาษีมูลค่าเพิ่มจากการเชิญพบของเจ้าหน้าที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่ ค. พร้อมทั้งแจ้งว่า ห้างฯ เคยไป
พบเจ้าหน้าที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่ ก ประมาณปีละครั้ง แต่จำไม่ได้ว่าเป็นการตรวจสอบภาษีประเภท
ใด เดือนภาษีใด และห้างฯ ได้ส่งมอบรายงานภาษีซื้อ รายงานภาษีขาย และใบกำกับภาษี ให้เจ้าหน้าที่
สำนักงานสรรพากรพื้นที่ ก. แต่ไม่ทราบว่าเอกสารดังกล่าวเป็นของเดือนภาษีใด สำหรับกรณีเอกสาร
รายงานภาษีขาย สำเนาใบกำกับภาษี รายงานภาษีซื้อ ใบกำกับภาษีซื้อ และเอกสารอื่น ๆ ที่ เจ้าหน้าที่
สำนักงานสรรพากรพื้นที่ ค. ขอตรวจสอบเพื่อพิจารณาคืนภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการยื่นแบบ ภ.พ. 30
เพิ่มเติมในเดือนภาษีตุลาคม 2538 ถึงเดือนภาษีกุมภาพันธ์ 2539 นั้น ห้างฯ ได้ ชี้แจงว่า เนื่องจาก
ห้างฯ มิได้เก็บและรักษาเอกสารซึ่งมีอายุเกินกว่า 5 ปี นับแต่วันที่ยื่นแบบแสดง รายการภาษีหรือวันทำ
รายงานไว้ จึงไม่สามารถส่งมอบเอกสารดังกล่าวให้สำนักงานสรรพากรพื้นที่ ค.ตามที่ร้องขอได้
     4. สำนักงานสรรพากรพื้นที่ ค. มีความเห็นว่า กรณีห้างฯ ไม่สามารถส่งมอบใบกำกับภาษีซื้อ
สำเนาใบกำกับภาษีขาย รายงานภาษีขาย รายงานภาษีซื้อ และเอกสารอื่นให้แก่สำนักงานสรรพากรพื้นที่
ค.เพื่อตรวจสอบก่อนพิจารณาคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม จึงไม่ควรคืนภาษีมูลค่าเพิ่มตามคำร้อง

แนววินิจฉัย

     กรณีห้างฯ ยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มเพิ่มเติมสำหรับเดือนตุลาคม 2538 - เดือน
กุมภาพันธ์ 2539 โดยขอคืนภาษีเป็นเงินสด เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2539 ต่อมาเมื่อวันที่ 17 มีนาคม
2546 สำนักงานสรรพากรพื้นที่ ค.ขอให้ห้างฯ ส่งมอบ ใบกำกับภาษี รายงานภาษีซื้อ รายงานภาษีขาย
และเอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่ห้างฯ แต่ห้างฯ ไม่สามารถส่งมอบ
เอกสารดังกล่าวให้สำนักงานสรรพากรพื้นที่ ค.ตามที่ร้องขอได้ เนื่องจากห้างฯ มิได้เก็บและรักษา
เอกสารซึ่งมีอายุเกินกว่า 5 ปี นับแต่วันที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีหรือวันทำรายงานไว้ กรณีดังกล่าว
ถือว่าห้างฯ ได้เก็บและรักษาเอกสารตามกำหนดเวลาขั้นต่ำในการเก็บและรักษาเอกสารตามมาตรา
87/3 แห่งประมวลรัษฎากร แล้ว แต่การเก็บและรักษาเอกสารไว้เกินกำหนดเวลาขั้นต่ำในการเก็บและ
รักษาเอกสารตามมาตรา 87/3 แห่งประมวลรัษฎากร จะเป็นประโยชน์แก่ห้างฯ หากถูกตรวจสอบก่อน
คืนภาษีมูลค่าเพิ่ม อนึ่ง ในการตรวจก่อนคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม ให้สำนักงานสรรพากรพื้นที่ ค. ปฏิบัติตาม
ระเบียบกรมสรรพากร ว่าด้วยการตรวจคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม พ.ศ. 2541