views

ภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีการเรียกเก็บเงินประกันการเช่า

วันที่: 14 กรกฎาคม 2548
เลขที่หนังสือ

กค 0706/พ./5801

วันที่

14 กรกฎาคม 2548

ข้อกฎหมาย

มาตรา 65 มาตรา 77/1(8)(10) มาตรา 78

เลขตู้

68/33489

ข้อหารือ

      1.บริษัท ก. ได้เรียกเก็บเงินประกัน และเงินมัดจำจากผู้เช่าหรือผู้รับบริการเมื่อมีการลงนามในสัญญาบริการ โดยเมื่อสิ้นสุดสัญญาบริษัทฯ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการจะต้องคืนเงินประกันและเงินมัดจำที่เรียกเก็บคืนผู้รับบริการโดยไม่มีดอกเบี้ย เงินประกันและเงินมัดจำที่กล่าวถึงได้แก่
      - เงินประกันการรับบริการตามสัญญาเป็นจำนวน 3 เท่าของอัตราค่าบริการรายเดือน
      - เงินประกันมิเตอร์ไฟฟ้า และเงินประกันมิเตอร์น้ำประปา
      - เงินมัดจำสายโทรศัพท์และเงินมัดจำบัตรจอดรถ
      2.บริษัทฯ ได้เรียกเก็บเงินชดเชยความเสียหายจากผู้ใช้บริการ เนื่องจากผู้ใช้บริการประมาทเลินเล่อทำให้ทรัพย์สินของอาคารชำรุดเสียหาย ซึ่งเงินดังกล่าวได้รับชำระโดยบริษัทประกันของผู้ใช้บริการ ซึ่งไม่มีการชำระในส่วนของภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่บริษัทฯ
      3.บริษัทฯ ได้เรียกเก็บเงินประกันการเข้าตกแต่งอาคาร โดยระบุไว้ในสัญญาเช่าเมื่อผู้เช่าอาคารได้ตกแต่งอาคารเสร็จเรียบร้อย และได้ดำเนินการให้บริษัทฯ เข้าตรวจเช็คพื้นที่เช่าตามข้อกำหนดในสัญญาแล้ว หากไม่พบความเสียหายใด ๆ บริษัทฯ จะคืนเงินประกันดังกล่าวให้แก่ผู้เช่าทันที เงินประกันดังกล่าวเรียกเก็บไม่เกิน 3 เท่าของค่าเช่ารายเดือน และสัญญาเช่าทรัพย์สินมีอายุสัญญาไม่เกิน 3 ปี

แนววินิจฉัย

      1.กรณีตาม 1. การเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลและการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับเงินประกันการรับบริการ แยกพิจารณาได้ดังนี้
      (1) การเรียกเก็บเงินประกันการให้บริการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เงินประกันที่เรียกเก็บในกรณีดังต่อไปนี้ ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลและได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามข้อ 3(2) ของคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป.73/2541ฯ ลงวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2541
            (ก) โดยขนบธรรมเนียมประเพณีทางธุรกิจได้มีการเรียกเก็บเงินประกัน
            (ข) ต้องมีการคืนเงินประกันให้แก่ผู้เช่าทันทีที่สัญญาสิ้นสุดลงโดยไม่มีเงื่อนไข แต่กรณีเกิดความเสียหายผู้ให้เช่ามีสิทธิหักกลบลบหนี้ได้
            (ค) เงินประกันที่เรียกเก็บต้องไม่เกิน 6 เท่าของค่าเช่ารายเดือน
            (ง) สัญญาให้เช่าทรัพย์สินมีอายุสัญญาไม่เกิน 3 ปี
      กรณีการเรียกเก็บเงินประกันที่ไม่เข้าเงื่อนไขตาม (ก)-(ง) ข้างต้น
เงินประกันดังกล่าวจะถือเป็นส่วนหนึ่งของค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ บริษัทฯ ต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล แต่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 81(1)(ต) แห่งประมวลรัษฎากร
      (2) กรณีการเรียกเก็บเงินประกันมิเตอร์ไฟฟ้า และเงินประกันมิเตอร์น้ำประปาถือเป็นส่วนหนึ่งของการขายสินค้า สำหรับเงินมัดจำสายโทรศัพท์และเงินมัดจำบัตรจอดรถถือเป็นส่วนหนึ่งของการให้บริการ บริษัทฯ ต้องนำเงินประกันดังกล่าวมารวมคำนวณเป็นมูลค่าของฐานภาษีเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 79 แห่งประมวลรัษฎากร โดยให้ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้นตามมาตรา 78(1) และ มาตรา 78/1(1) แห่งประมวลรัษฎากร แล้วแต่กรณี ประกอบกับข้อ 2(3)(ก) และ (ข) ของคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป.73/2541ฯ ลงวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2541
      กรณีการเรียกเก็บเงินประกันที่ไม่เข้าเงื่อนไขตาม (1)(ก)-(ง) ข้างต้น
เงินประกันและเงินมัดจำดังกล่าวบริษัทฯ ต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลด้วย
      2.กรณีตาม 2. การที่บริษัทฯ เรียกเก็บเงินชดเชยความเสียหายจากผู้ใช้บริการ ซึ่งเงินดังกล่าวได้รับชำระโดยบริษัทประกันของผู้ใช้บริการ ไม่ถือเป็นรายได้จากการขายสินค้าหรือการให้บริการตามมาตรา 77/1(8) และมาตรา 77/1(10) แห่งประมวลรัษฎากร บริษัทฯ จึงไม่ต้องนำเงินชดเชยความเสียหายดังกล่าวมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่มแต่อย่างใด
      3.กรณีตาม 3. การเรียกเก็บเงินประกันการเข้าตกแต่งอาคารของผู้เช่า ถือเป็นส่วนหนึ่งของค่าบริการที่มิใช่การให้บริการเช่าอสังหาริมทรัพย์ บริษัทฯ ต้องนำเงินประกันดังกล่าว มารวมคำนวณเป็นมูลค่าของฐานภาษีเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีเงินได้นิติบุคคลเช่นเดียวกับกรณีตาม 1.(2)