กค 0706(กม.08)/พ./209
31 มกราคม 2550
มาตรา 82/6 แห่งประมวลรัษฎากร
70/34752
บริษัท ก. ประกอบกิจการโรงพยาบาลและประกอบกิจการอื่นๆ เช่น ให้บริการซักรีดเสื้อผ้า
ให้บริการโทรศัพท์และการจำหน่ายบัตรโทรศัพท์ บริษัทฯ มีรายได้จากการประกอบกิจการโรงพยาบาล
ร้อยละ 98 ของรายได้ทั้งหมด และมีรายได้จากการประกอบกิจการอื่นๆ ที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษี
มูลค่าเพิ่มร้อยละ 2 ของรายได้ทั้งหมด บริษัทฯ มีสถานประกอบการ 2 แห่ง คือโรงพยาบาล ข. และ
โรงพยาบาล ค. ในการประกอบกิจการของบริษัทฯ ที่โรงพยาบาล ด. จะมีแผนกซักรีดรวมอยู่ด้วย
ทำหน้าที่ซักรีดเสื้อผ้าที่ใช้ในการประกอบกิจการของโรงพยาบาลทั้งสองแห่งพร้อมทั้งรับบริการซักรีด
เสื้อผ้าจากบุคคลภายนอกด้วย โดยใช้เครื่องซักผ้าขนาดใหญ่จำนวน 4 เครื่อง มิได้แยกเครื่องซักผ้า
และโรงซักรีดออกจากกัน บริษัทฯ ได้คำนวณค่าใช้จ่ายในการซักรีดเสื้อผ้าทั้งสองประเภท ดังนี้
1. การซักผ้าแต่ละครั้งมีการชั่งน้ำหนักผ้าทุกครั้ง เนื่องจากโปรแกรมของเครื่องซักผ้าทุกเครื่อง
จะคำนวณปริมาณกระแสไฟฟ้า น้ำประปา ผงซักฟอก น้ำยาปรับผ้านุ่มที่ใช้จากน้ำหนักของผ้าที่ซัก
ในแต่ละครั้ง โดยเครื่องซักผ้าแต่ละเครื่องจะมีช่องใส่ผ้าแยกออกเป็น 2-3 ช่อง เวลาซักจะแยกผ้าที่ใช้
ในกิจการโรงพยาบาล และผ้าที่ให้บริการแก่บุคคลภายนอกออกจากกัน โดยไม่ใส่ในช่องซักช่องเดียวกัน
มีการจดบันทึกเป็นรายครั้งมีการสรุปเป็นรายวันและรายเดือนตามน้ำหนักและประเภทของผ้า
2.บริษัทฯ แยกย่อยมิเตอร์ไฟฟ้าและน้ำประปาที่ใช้ในโรงซักรีดออกจากมิเตอร์รวมของบริษัทฯ
เพื่อความสะดวกในการคำนวณปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ใช้ในโรงงานซักรีดทั้งหมด และเมื่อคำนวณ
ปริมาณกระแสไฟฟ้าและน้ำประปาที่ใช้ในโรงงานซักรีดได้แล้ว บริษัทฯ จะนำมาคำนวณเฉลี่ยปริมาณ
กระแสไฟฟ้าและน้ำประปาที่ใช้สำหรับการซักรีดเสื้อผ้าของแต่ละประเภท โดยใช้น้ำหนักของผ้า
เป็นเกณฑ์ในการคำนวณ
3.วัตถุดิบที่ใช้ในการซักรีด เช่น ผงซักฟอก น้ำยาปรับผ้านุ่ม และอื่นๆ เนื่องจากบริษัทฯ จะซื้อ
สินค้าดังกล่าวในจำนวนมากและซื้อได้ในราคาถูกแล้วนำมาเก็บรวมไว้ใน Stock เดียวกัน โดยมิได้
แยกออกเป็นสัดส่วนสำหรับการซักผ้าของแต่ละประเภท และมีการเบิกใช้ร่วมกัน แต่บริษัทฯ จะ
ตรวจสอบการใช้วัตถุดิบทั้งหมดทุกสิ้นเดือน โดยคำนวณหาสัดส่วนปริมาณการใช้วัตถุดิบสำหรับ
การซักผ้าของแต่ละประเภทตามน้ำหนักของผ้าที่ซักในแต่ละเดือนเพื่อแยกค่าใช้จ่ายสำหรับการซักรีด
เสื้อผ้าของแต่ละประเภท บริษัทฯ นำภาษีซื้อเฉพาะที่เกิดขึ้นเนื่องจากการซักรีดดังกล่าวมาเฉลี่ย
ตามน้ำหนักผ้าที่ซักรีดเพื่อคำนวณหาภาษีซื้อส่วนที่เกิดจากการให้บริการซักรีดแก่บุคคลภายนอก
อันเป็นกิจการที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มแล้วนำภาษีซื้อดังกล่าวซึ่งเฉลี่ยได้ประมาณ
ร้อยละ 50-60 มาคำนวณเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่มโดยบริษัทฯ เฉลี่ยภาษีซื้อด้วยวิธีดังกล่าวมาตั้งแต่
ปี 2545 จนถึงปัจจุบัน บริษัทฯ จึงขอให้พิจารณาอนุมัติ ดังนี้
1. ขออนุมัติใช้น้ำหนักผ้าเป็นเกณฑ์ในการเฉลี่ยภาษีซื้อ
2.ขออนุมัติใช้หลักเกณฑ์ดังกล่าวย้อนหลังตั้งแต่ปี 2545
1. ผู้ประกอบการจดทะเบียนที่ประกอบกิจการและมีรายได้ของปีที่ผ่านมาแล้ว หากมีภาษีซื้อ
ที่เกิดจากการซื้อสินค้าหรือรับบริการซึ่งนำไปใช้ในกิจการทั้งสองประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
และประเภทที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม และผู้ประกอบการไม่สามารถแยกได้อย่างชัดแจ้งว่าเป็น
ภาษีซื้อของกิจการประเภทใด ผู้ประกอบการจะต้องทำการเฉลี่ยภาษีซื้อตามหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขในข้อ 2(3) แห่งประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 29)ฯ
ลงวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2535 กล่าวคือ ผู้ประกอบการต้องเฉลี่ยภาษีซื้อของสินค้าหรือบริการตาม
ส่วนของรายได้ของแต่ละกิจการโดยมีสิทธิเลือกเฉลี่ยภาษีซื้อได้ 2 วิธี คือ
วิธีที่ 1. เฉลี่ยภาษีซื้อ ตามส่วนของรายได้ของปีที่ผ่านมาของกิจการที่ต้องเสียภาษี
มูลค่าเพิ่มและกิจการที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม และขอคืนภาษีซื้อตามที่ได้เฉลี่ยไว้โดยไม่ต้อง
ทำการปรับปรุงภาษีซื้อในภายหลังอีก
วิธีที่ 2.เฉลี่ยภาษีซื้อ ตามส่วนของรายได้ของปีที่ผ่านมาของกิจการทั้งสองประเภท และ
เมื่อสิ้นปีสามารถปรับปรุงภาษีซื้อให้เป็นไปตามส่วนของรายได้ที่เกิดขึ้นจริงทั้งปีของกิจการ
ทั้งสองประเภท
2.อย่างไรก็ดี ตามข้อ 3(1) แห่งประกาศอธิบดีกรมสรรพากรฯ ฉบับดังกล่าวได้กำหนดหลักเกณฑ์
ที่เป็นการอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการที่จะไม่ต้องทำการเฉลี่ยภาษีซื้อ โดยในกรณีรายได้
ของปีที่ผ่านมาของกิจการประเภทที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มมีจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของ
รายได้ทั้งสิ้นของกิจการผู้ประกอบการมีสิทธิเลือกไม่นำภาษีซื้อทั้งจำนวนไปหักออกจากภาษีขายได้
โดยไม่ต้องทำการเฉลี่ยภาษีซื้อตามหลักเกณฑ์ใน 1 และเมื่อผู้ประกอบการได้เลือกปฏิบัติตามวิธีนี้แล้ว
ก็ต้องถือปฏิบัติตลอดไป จนกว่าส่วนของรายได้ของปีที่ผ่านมาของกิจการประเภทที่ต้องเสียภาษี
มูลค่าเพิ่มมีจำนวนน้อยกว่าร้อยละ 90 ของรายได้ทั้งสิ้นของกิจการ หรือผู้ประกอบการได้รับอนุมัติ
จากอธิบดีกรมสรรพากรให้เปลี่ยนแปลงได้
3.กรณีบริษัทฯ ซึ่งประกอบกิจการทั้งสองประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มและประเภทที่ไม่ต้อง
เสียภาษีมูลค่าเพิ่มนั้น หากบริษัทฯ ได้นำสินค้าหรือบริการที่ได้มาหรือได้รับมาในการประกอบกิจการ
ของตนไปใช้หรือจะใช้ในกิจการทั้งสองประเภท ถ้าสามารถแยกได้อย่างชัดแจ้งว่าภาษีซื้อเกิดจาก
สินค้าหรือบริการดังกล่าวเป็นภาษีซื้อของกิจการประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มให้ถือเป็นภาษีซื้อ
ของกิจการประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มนั้นๆ ตามข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับ
ภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 29)ฯ ลงวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2535 อย่างไรก็ดีหากบริษัทฯ ไม่สามารถแยกได้
อย่างชัดแจ้งว่าภาษีซื้อที่เกิดจากสินค้าหรือบริการดังกล่าวเป็นภาษีซื้อของกิจการประเภทใด บริษัทฯ
ต้องใช้หลักเกณฑ์การเฉลี่ยภาษีซื้อตามหลักเกณฑ์ที่กล่าวใน 1 และ 2 ซึ่งเป็นหลักเกณฑ์ที่บริษัทฯ
สามารถปฏิบัติได้ตามกฎหมายอยู่แล้ว การที่บริษัทฯ จะขอใช้หลักเกณฑ์อื่นในการเฉลี่ยภาษีซื้อ ซึ่ง
ไม่ใช่การเฉลี่ยภาษีซื้อตามที่กล่าวใน 1 และ 2 จึงไม่สามารถให้บริษัทฯ ปฏิบัติตามที่บริษัทฯ ร้องขอได้