กค 0702/6062
25 สิงหาคม 2557
มาตรา 47 (7) (ข) แห่งประมวลรัษฎากร และมาตรา 3 (4) (ข) แห่งพระราชกฤษฎีกา
77/39231
1.ระหว่างที่มูลนิธิฯ รอการอนุมัติเป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล ถ้าผู้ถือหุ้นจะบริจาคหุ้นสามัญให้กับมูลนิธิฯ โดยระบุมูลค่าหุ้นที่บริจาคตามราคาทุน (พาร์) ผู้ถือหุ้นที่บริจาคไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีจากกำไรจากการบริจาค (จำหน่าย) หุ้นนี้ใช่หรือไม่
2.เมื่อบริษัทได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแล้ว หลังจากนั้นบริษัทมีการประกาศและจ่ายเงินปันผลให้แก่มูลนิธิฯ ซึ่งยังไม่ได้รับอนุมัติให้เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล เงินปันผลที่ได้รับถือเป็นเงินได้ของมูลนิธิที่ต้องนำไปคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลใช่หรือไม่
3.มูลนิธิฯ ได้รับอนุมัติให้เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศลแล้ว มีเงินได้จากเงินปันผลที่เกิดจากการถือหุ้นสามัญของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มูลนิธิฯ ได้นำเงินปันผลดังกล่าว ไปจัดสรรเพื่อใช้จ่ายเกี่ยวกับสาธารณกุศลตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิไม่น้อยกว่าร้อยละ65 ของรายได้ในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชี การที่มูลนิธิฯ มีเงินได้จากการรับเงินปันผลและใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิฯ ตามที่กล่าวแล้วนั้น จะเป็นเหตุให้มูลนิธิฯ ถูกเพิกถอนการเป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศลหรือไม่
1.กรณีมูลนิธิฯ ยังไม่ได้รับการประกาศกำหนดให้เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศลตามความในมาตรา 47 (7) (ข) แห่งประมวลรัษฎากร และมาตรา 3 (4) (ข) แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 239) พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 245) พ.ศ. 2535 การบริจาคหุ้นสามัญซึ่งเป็นหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยให้แก่มูลนิธิฯ แยกพิจารณาได้ดังนี้
1.1กรณีบุคคลธรรมดาบริจาคหุ้นสามัญของบริษัทที่ตนถืออยู่ให้กับมูลนิธิฯเข้าลักษณะเป็นการให้โดยไม่ได้รับค่าตอบแทน บุคคลธรรมดาซึ่งเป็นผู้บริจาคหุ้น จึงไม่มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร ที่จะต้องนำมาคำนวณเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามมาตรา 56 แห่งประมวลรัษฎากรแต่อย่างใด
1.2กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล บริจาคหุ้นสามัญที่ตนถืออยู่ให้แก่มูลนิธิฯเข้าลักษณะเป็นการโอนทรัพย์สินโดยไม่มีค่าตอบแทน โดยไม่มีเหตุอันสมควร ตามมาตรา 65 ทวิ (4)แห่งประมวลรัษฎากร เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินมูลค่าหุ้นที่บริจาคตามราคาตลาดเป็นรายได้ในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
2.กรณีมูลนิธิฯ ยังไม่ได้รับการประกาศกำหนดให้เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศลตามมาตรา 47 (7) (ข) แห่งประมวลรัษฎากร มูลนิธิฯ จึงเข้าลักษณะเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราร้อยละ 10 จากรายได้ก่อนหักรายจ่ายใด ๆ ตามมาตรา 65 ทวิ (13) และมาตรา 67 แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับ (2) (จ)แห่งบัญชีอัตราภาษีเงินได้ และสำหรับรายได้เฉพาะที่เป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร มูลนิธิฯ จะได้รับการลดอัตราภาษีโดยให้เสียภาษีในอัตราร้อยละ 2 ของรายได้ก่อนหักรายจ่ายใด ๆ ตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ 250)พ.ศ. 2535 ดังนั้น เมื่อมูลนิธิฯ ได้รับเงินปันผล มูลนิธิฯ ต้องนำเงินปันผลนั้นไปรวมคำนวณเป็นรายได้เพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
3.หากมูลนิธิฯ ได้รับการประกาศกำหนดให้เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศลตามมาตรา 47 (7) (ข) แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว มูลนิธิฯ อาจถูกประกาศเพิกถอนได้ ถ้าต่อมาการดำเนินงานของมูลนิธิเข้าลักษณะตามข้อ 12 ของประกาศกระทรวงการคลัง ว่าด้วยภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่ม(ฉบับที่ 531) เรื่อง หลักเกณฑ์การพิจารณาประกาศกำหนดองค์การ สถานสาธารณกุศล สถานพยาบาล และสถานศึกษาตามมาตรา 47 (7) (ข) แห่งประมวลรัษฎากร และมาตรา 3 (4) (ข) แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 239) พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 244) พ.ศ. 2535 ลงวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2555