กค 0706/8914
18 กันยายน 2546
มาตรา 70, มาตรา 83/6(2)
66/32668
บริษัท ก. จะเข้าทำสัญญาให้บริการประมวลข้อมูล (Processing Agreement) เป็นเวลา
8 ปี กับบริษัท ซ. ผู้ให้บริการซึ่งเป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายของประเทศออสเตรเลีย บริษัทฯ จะมี
หน้าที่รวบรวมข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับลูกค้าของบริษัทฯ ที่สมัครโครงการขอสินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อเพื่อ
การบริโภค และบัตรเครดิตที่ได้รับอนุมัติจากบริษัทฯ แล้ว และจัดส่งข้อมูลดังกล่าวไปยังระบบของบริษัท
ซ. ทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ประเทศออสเตรเลีย โดยบริษัท ซ. จะทำการประมวลข้อมูลโดยใช้อุปกรณ์
เครื่องมือ เครื่องใช้ และระบบคอมพิวเตอร์ของบริษัท ซ. เองที่ใช้ให้บริการแก่ลูกค้าโดยทั่วไป และจัด
ส่งข้อมูลที่ประมวลผลแล้วผ่านระบบสื่อสารระหว่างประเทศเป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์กลับมายังบริษัทฯ เพื่อ
ดำเนินการจัดพิมพ์เป็น Statement ให้แก่ลูกค้าของบริษัทฯ ต่อไป ซึ่งข้อมูลดังกล่าวถือเป็นทรัพย์สินของ
บริษัทฯ แต่เพียงผู้เดียว โดยบริษัท ซ. ไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ใด ๆ ได้ ในการดำเนินการตาม
สัญญาจะไม่มีการถ่ายทอดเทคโนโลยี ความรู้ความชำนาญ Know How ตลอดจนการอนุญาตให้ใช้สิทธิใด ๆ
ทั้งสิ้นของบริษัท ซ. ให้แก่บริษัทฯ โดยค่าบริการที่บริษัทฯ ต้องจ่ายให้แก่บริษัท ซ. ตามสัญญาจะคิด
เป็นจำนวนเงินตามปริมาณการทำรายการ และตามจำนวนลูกค้าของโครงการสินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อ
เพื่อการบริโภคและบัตรเครดิตที่บริษัท ซ. ประมวลข้อมูลให้ บริษัทฯ ไม่มีหน้าที่ต้องชำระค่าอุปกรณ์หรือ
เครื่องมือใด ๆ ให้แก่บริษัท ซ. แต่อย่างใด ในการให้บริการดังกล่าวบริษัท ซ. ไม่มี
สถานประกอบการถาวรในประเทศไทย เนื่องจากการดำเนินการตามสัญญาทั้งหมดเกิดขึ้นในประเทศ
ออสเตรเลีย และแม้ว่าบริษัท ซ.จะส่งพนักงานเข้ามาติดตั้งระบบให้แก่เครื่องคอมพิวเตอร์ของบริษัทฯ
เพื่อการรับส่งข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ของบริษัทฯ ตามสัญญา แต่การเข้ามาดำเนินงานของพนักงานดังกล่าว
ไม่ว่าในระยะเวลาหนึ่งหรือหลายระยะเวลารวมกันแล้วจะไม่เกิน 183 วัน ทั้งนี้ ตามข้อ 5 แห่ง
ความตกลงระหว่างราชอาณาจักรไทยกับประเทศออสเตรเลีย เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและ
การป้องกันการเลี่ยงการรัษฎากร ในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้
1. การให้บริการของบริษัท ซ. ตามสัญญาให้บริการประมวลข้อมูลมีลักษณะเป็นการให้บริการ
รับจ้างทั่วไป และหากการให้บริการดังกล่าวไม่มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีแล้ว เงินค่าบริการเข้าลักษณะ
เป็นเงินได้พึงประเมินเนื่องจากการรับทำงานให้ตามมาตรา 40(2) แห่งประมวลรัษฎากรและถือเป็น
กำไรจากธุรกิจ และหากพนักงานของบริษัท ซ. เข้ามาในประเทศไทยมีระยะเวลารวมกันไม่เกินกว่า
183 วัน ยังถือไม่ได้ว่าบริษัท ซ. มีสถานประกอบการถาวรในประเทศไทย จึงไม่มีหน้าที่ต้องเสีย
ภาษีเงินได้นิติบุคคลในประเทศไทยจากค่าบริการที่ได้รับ ตามข้อ 5 และข้อ 7 วรรคหนึ่ง แห่ง
ความตกลงระหว่างราชอาณาจักรไทยกับประเทศออสเตรเลีย เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนฯ ประกอบ
กับมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับ
ที่ 18) พ.ศ. 2505 ดังนั้น เมื่อบริษัทฯ จ่ายค่าบริการดังกล่าวให้บริษัท ซ. บริษัทฯ จึงไม่มีหน้าที่ต้องหัก
ภาษีจากเงินได้พึงประเมินที่จ่ายและนำส่งตามมาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากรแต่อย่างใด
2. การที่บริษัท ซ. ให้บริการแก่บริษัทฯ ตามสัญญาให้บริการข้อมูล เข้าลักษณะเป็นการ
ให้บริการที่กระทำในต่างประเทศและได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร จึงถือเป็นการให้บริการใน
ราชอาณาจักรตามมาตรา 77/2 วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร บริษัท ซ. ผู้ให้บริการมีหน้าที่ต้องเสีย
ภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากร เมื่อบริษัทฯ ผู้รับ
บริการในราชอาณาจักรจ่ายเงินค่าบริการให้กับบริษัท ซ. จึงมีหน้าที่นำส่งเงินภาษีมูลค่าเพิ่มที่บริษัท ซ.
มีหน้าที่เสียภาษีตามมาตรา 83/6(2) แห่งประมวลรัษฎากร โดยยื่นแบบนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.36)
ภายใน 7 วันนับแต่วันสิ้นเดือนของเดือนที่จ่ายเงินตามมาตรา 83/6 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร