views

ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีการรวมและโอนกิจการทั้งหมด

วันที่: 7 กันยายน 2550
เลขที่หนังสือ

กค 0706(กม.08)/2780

วันที่

7 กันยายน 2550

ข้อกฎหมาย

มาตรา 65 ทวิ (3) และมาตรา 65 ตรี (12)(13) แห่งประมวลรัษฎากร

เลขตู้

70/35322

ข้อหารือ

        กรณีการรวมและโอนกิจการทั้งหมด ราย ธนาคารฯ โดยมีข้อเท็จจริงสรุปได้ดังนี้

        1.1 ธนาคารฯ ได้มีหนังสือแจ้งว่า ตามที่กระทรวงการคลังให้ความเห็นชอบในการรวมและโอนกิจการโดยให้บรรษัทเงินทุน A และธนาคาร B โอนกิจการทั้งหมดให้ธนาคารฯ เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2547 ซึ่งสรุปขั้นตอนการโอนกิจการได้ดังนี้

            1.1.1 กระทรวงการคลังได้กำหนดให้

            (1) การโอนกิจการให้ดำเนินการดังนี้

                (ก) ผู้โอนต้องโอนสินทรัพย์ หนี้สิน และภาระผูกพันทั้งหมดให้แก่ผู้รับโอนโดยใช้มูลค่าตามบัญชีหลังการปรับปรุง (adjusted book value) ณ วันทำการสุดท้ายก่อนวันโอนกิจการ

                (ข) สินทรัพย์ที่โอนให้ใช้มูลค่าหลังจากกันเงินสำรองที่เกี่ยวข้องแล้ว

                (ค) ให้ธนาคารฯ ถือหุ้นในบรรษัทเงินทุน A และธนาคาร B ได้ 100%เพื่อจะได้เพิกถอนหุ้นผู้โอนทั้ง 2 ออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนได้ก่อนการโอนกิจการ

            (2) ให้ธนาคารฯ ดูแลผู้ถือหุ้นของบรรษัทเงินทุน A และธนาคาร B โดยการรับซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นของ 2 สถาบัน

            (3) ต้องทำเป็นหนังสือสัญญาการโอนและต้องไม่มีข้อตกลงเกี่ยวกับการโอนสินทรัพย์หรือหนี้สินคืนให้แก่ผู้โอน

            1.1.2 การชำระค่าตอบแทนการรับโอนกิจการ ธนาคารฯได้ชำระโดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่ผู้โอนที่มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน

            1.1.3 คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์อนุญาตให้ธนาคารฯ ขายหุ้นโดยการนำหุ้นสามัญเพิ่มทุนของธนาคารฯ มูลค่าหุ้นละ 10 บาท ไปแลกกับผู้ถือหุ้นของบรรษัทเงินทุน A และธนาคาร B โดยราคาที่แลกเปลี่ยนของทั้ง 3 สถาบันใช้ราคาปิดของตลาดเฉลี่ย 25 วัน มีผลให้ราคาต่อหุ้นของธนาคารฯ ที่นำไปแลกมีราคาประมาณหุ้นละ 3.76 บาท และ 3.586 บาท ตามลำดับ

            1.1.4 แต่ละสถาบันได้ว่าจ้างที่ปรึกษาทางการเงิน ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญอิสระเพื่อให้ความเห็นในการกำหนดราคาซื้อทรัพย์สินและสัดส่วนในการแลกหุ้น

        จากการรับโอนกิจการดังกล่าว ธนาคารฯ ได้บันทึกบัญชีตามมาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 43มีผลให้เกิดค่าความนิยม ซึ่งมีรายละเอียดตามตารางดังนี้

        ตารางที่ 1 ค่าความนิยม

        รายการ บรรษัทเงินทุน A ธนาคาร B รวม

        1. สินทรัพย์ 175,623,431,937.73 103,873,330,843.06 279,496,762,780.79

        2. หนี้สิน 175,624,171,702.50 100,127,228,442.41 275,751,400,144.91

        3. ตั๋วสัญญาใช้เงินที่ธนาคารฯ ออกให้กับธนาคาร B . (1 หัก 2) (739,764.77) 3,746,102,400.65 3,745,362,635.88

        4. เงินลงทุนในหลักทรัพย์ (จาก 3 ของตารางที่ 2 ) 5,927,282,417.92 11,642,699,327.44 17,569,981,745.36

        5. ค่าใช้จ่ายในการรวมและโอนกิจการ 247,589,935.86 212,939,085.30 460,529,021.16

        6. ปรับปรุงมูลค่าเงินลงทุนในบริษัทย่อยเพิ่มขึ้นตามราคาตลาด (เท่ากับมูลค่าตามบัญชี) ภายหลังรับโอนทรัพย์ (27,952,240.30) - (27,952,240.30)

        7. ผลรวมตั้งแต่ 4 ถึง 6 และปรับเพิ่มหรือลดด้วย 3 ผลที่ได้ถือเป็นค่าความนิยม 6,147,659,878.25 8,109,536,012.09 14,257,195,890.34

        ตารางที่ 2 เงินลงทุนในหลักทรัพย์

        รายการ บรรษัทเงินทุน A ธนาคาร B รวม

        1. จำนวนหุ้นธนาคารฯ ที่นำไปแลกกับหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อยของบรรษัทเงินทุน และ ธนาคาร B . 1,652,091,686.00 3,246,240,293.00 4,898,331,979.00

        2. มูลค่าของหุ้นธนาคารฯ ราคา PAR 10 คิดเป็นเงิน (*1) 16,520,916,860.00 32,462,402,930.00 48,983,319,790.00

        3. ราคาหุ้นธนาคารฯ ที่นำไปแลกหุ้นกับผู้ถือหุ้นของบรรษัทเงินทุน A และ ธนาคาร B

        ประมาณ 3.76 บาท/หุ้น และ 3.586 บาท/หุ้น ตามลำดับ(ซึ่งเป็นการคำนวณจากอัตราส่วนในการแลกหุ้น) คิดเป็นเงิน 5,927,282,417.92 11,642,699,327.44 17,569,981,745.36

        4. ผลต่าง 2 และ 3 ถือเป็นส่วนต่ำกว่ามูลค่าหุ้นที่นำไปบันทึกไว้ในส่วนของผู้ถือหุ้น 10,593,634,442.08 20,819,703,602.56 31,413,338,044.64

        1.2 ธนาคารฯ จึงขอหารือว่า

            1.2.1 ค่าความนิยมตามข้อ 7 ในตารางที่ 1 ซึ่งเป็นผลรวมของเงินลงทุนในหลักทรัพย์ (ราคาหุ้นของธนาคารฯ ที่นำไปแลกหุ้นกับผู้ถือหุ้นของบรรษัทเงินทุน A และธนาคาร B)ค่าใช้จ่ายในการรวมและโอนกิจการ (ค่าที่ปรึกษาและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในการควบรวมกิจการ)และมูลค่าเงินลงทุนในบริษัทย่อยที่มีการปรับปรุงเพิ่มขึ้นตามราคาตลาดภายหลังรับโอนสินทรัพย์ซึ่งได้ปรับเพิ่มหรือลดด้วยจำนวนเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงิน (ส่วนต่างระหว่างสินทรัพย์และหนี้สินที่รับโอน)ถือเป็นค่าความนิยมตามมาตรา 4(4) แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน (ฉบับที่ 145) พ.ศ. 2527 หรือไม่ หากไม่ใช่จะถือเป็นรายจ่ายได้ทั้งจำนวนในรอบระยะเวลาบัญชี ได้หรือไม่

            1.2.2 หากเงินที่ธนาคารฯ จ่ายไปเพื่อการรวมและการโอนกิจการจำนวน 14,257,195,890.34 บาท ไม่ถือเป็นค่าความนิยมตามพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 145) พ.ศ. 2527 ธนาคารฯจะถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีได้หรือไม่และควรรับรู้เป็นรายจ่ายทันทีในปีที่เกิดรายจ่ายดังกล่าว หรือรับรู้ผลขาดทุนเป็นรายจ่าย เมื่อบรรษัทเงินทุน A และธนาคาร B คืนทุนให้แก่ธนาคารฯในจำนวนที่น้อยกว่ามูลค่าที่ธนาคารฯ ลงทุน หรือตัดเป็นรายจ่ายในรูปค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินโดยหากตัดเป็นรายจ่ายในรูปค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินจะมีวิธีการหรือหลักเกณฑ์ในการตัดจ่ายอย่างไรและในรอบระยะเวลาบัญชีใดได้บ้าง

แนววินิจฉัย

        1. กรณีธนาคารฯ ออกหุ้นเพิ่มทุนเพื่อแลกหุ้นกับผู้ถือหุ้นของธนาคาร B และบรรษัทเงินทุน A โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลังในการควบและโอนกิจการเนื่องจากการแลกหุ้นดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นการลงทุนเพื่อหาผลประโยชน์มิใช่การซื้อมาเพื่อขาย โดยการตีราคาทรัพย์สิน (หุ้น)ให้ถือตามราคาที่พึงซื้อทรัพย์สินนั้นได้ตามปกติ ตามมาตรา 65 ทวิ (3) แห่งประมวลรัษฎากร

        2. กรณีธนาคารฯ ได้รับคืนทุน เนื่องจากธนาคาร B และบรรษัทเงินทุน A เลิกกิจการหากมูลค่าของเงินลงทุนในหุ้นมากกว่าการคืนทุนที่ได้รับจากการเลิกกิจการ กรณีย่อมถือได้ว่าผลขาดทุนดังกล่าวเป็นผลขาดทุนที่เกิดขึ้นเนื่องจากการประกอบกิจการของธนาคารฯ ธนาคารฯจึงมีสิทธินำผลขาดทุนจากการลงทุนดังกล่าวมาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ ไม่ต้องห้ามมาตรา 65 ตรี (12) และ (13)แห่งประมวลรัษฎากร ทั้งนี้ ธนาคารฯ ต้องนำผลขาดทุนนั้นมาลงเป็นรายจ่ายในรอบระยะเวลาบัญชีที่ธนาคาร B และบรรษัทเงินทุน A ได้จดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชี

        3. กรณีธนาคารฯ ออกหุ้นเพิ่มทุนเพื่อแลกหุ้นกับผู้ถือหุ้นของธนาคาร B และบรรษัทเงินทุน A โดยธนาคารฯ ได้รับคืนทุน เนื่องจากธนาคาร B . และบรรษัทเงินทุน A เลิกกิจการซึ่งมีผลทางภาระภาษีตามข้อ 1. และข้อ 2. ข้างต้น จึงไม่มีกรณีต้องพิจารณาค่าความนิยม