กค 0811/01611
5 กุมภาพันธ์ 2541
ประเด็นปัญหา
61/26380
1. พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2540 เป็น
การแก้ไขความใน (1) (ค) ของมาตรา 65 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 31) พ.ศ. 2534 ซึ่งในขณะที่ออกพระราชบัญญัติ
ดังกล่าว บริษัทหลักทรัพย์อยู่ภายใต้บังคับกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุนฯ จึงได้รับประโยชน์
จากพระราชบัญญัติดังกล่าวด้วย โดยสามารถนำเงินสำรองที่กันไว้เป็นค่าเผื่อหนี้สูญหรือหนี้สงสัยจะสูญ
สำหรับหนี้จากการให้สินเชื่อมาเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิได้บางส่วน ใช่หรือไม่
2. ในขณะที่นำพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2540
ออกใช้บังคับ การกำกับดูแลธุรกิจหลักทรัพย์อยู่ภายใต้บทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และ
ตลาดหลักทรัพย์อยู่แล้ว ซึ่งรวมถึงการกำกับดูแลในเรื่องการตั้งค่าเผื่อหนี้สูญหรือหนี้สงสัยจะสูญด้วย แต่ใน
พระราชกำหนดดังกล่าวมิได้ระบุถึงการตั้งสำรองตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ไว้
บริษัทหลักทรัพย์ซึ่งเป็นนิติบุคคลเดิมตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 31) พ.ศ.
2534 และมีการระบุประเภทนิติบุคคลดังกล่าวไว้ในพระราชกำหนดฯ จะยังคงได้รับประโยชน์ตามความ
ในพระราชกำหนดฉบับข้างต้นหรือไม่ สำหรับการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สูญหรือหนี้สงสัยจะสูญตามหลักเกณฑ์ที่
กำหนดตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ตามมาตรา 65 ตรี (1) (ค) แห่งประมวลรัษฎากร ถึงแม้จะระบุว่าเป็นบริษัทหลักทรัพย์
ตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ แต่เมื่อบริษัท
หลักทรัพย์เปลี่ยนไปอยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ก็ให้
ถือว่าบริษัทหลักทรัพย์ที่อ้างถึงในมาตรา 65 ตรี (1) (ค) แห่งประมวลรัษฎากรดังกล่าว เป็นบริษัท
หลักทรัพย์ ตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ใน
ปัจจุบันได้ ตามมาตรา 321 ของหมวด 13 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.
2535