กค 0706/10751
23 ธันวาคม 2548
มาตรา 50, ท.ป.4/2548
68/33773
บริษัท ฯ ขอหารือเรื่องภาระภาษีการลงทุนในตราสารหนี้ ได้แก่ หุ้นกู้และพันธบัตร โดยสรุปข้อเท็จจริงได้ ดังนี้
1.การลงทุนในหุ้นกู้
1.1 กรณีที่บริษัทไทยขายหุ้นกู้ในตลาดรองให้แก่บุคคลธรรมดาโดยราคาขายเป็นราคาหุ้นกู้ที่รวมดอกเบี้ยค้างรับ (Dirty Price) ดังขั้นตอนต่อไปนี้
ก.วันที่ 1 ม.ค.46 บริษัท A (บริษัทไทย) ออกหุ้นกู้จำหน่ายครั้งแรกมีมูลค่าที่ตราไว้ (Par Value) 1,000 บาท อายุ 2 ปี ครบกำหนดไถ่ถอนในวันที่ 31 ธ.ค.47 อัตราดอกเบี้ย 6% ต่อปี โดยจ่ายดอกเบี้ยทุกวันที่ 1 มิ.ย.และ 1 ธ.ค. ของทุกปี
ข.วันที่ 1 ม.ค.46 บริษัท B (บริษัทไทย) ซื้อหุ้นจากบริษัท A (ตลาดแรก) ตามราคา Par Value และได้รับดอกเบี้ยงวดของวันที่ 1 มิ.ย.46 วันที่ 1 ธ.ค.46 และวันที่ 1 มิ.ย.47 แล้ว
ค.วันที่ 1 ต.ค.47 นาย ก. ซื้อหุ้นกู้ของบริษัท A จากบริษัท B ในราคา 990 บาท (Price Value) ประกอบด้วยราคาหุ้นกู้ 970 บาท (เนื่องจากได้รับส่วนลดจากราคา Par Value จำนวน 10 บาท) และดอกเบี้ยค้างรับตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย.47 1 ต.ค.47 จำนวน 20 บาท
ง. วันที่ 31 ธ.ค.47 นาย ก. ไถ่ถอนหุ้นกู้ นาย ก. ได้รับผลประโยชน์ในการซื้อหุ้นกู้ดังกล่าวเป็นผลต่างระหว่างมูลค่าที่ตราไว้ (Par Value) กับราคาซื้อหุ้นกู้ที่รวมดอกเบี้ยค้างรับ (Price Value) เป็นส่วนต่างจำนวน 10 บาท (1,000 990)
1.2 กรณีที่บริษัทไทยซื้อหุ้นกู้ในตลาดรองจากผู้ขายซึ่งเป็นบริษัทไทยหรือสถาบันการเงิน (ธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุน บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์) โดยราคาซื้อเป็นราคาหุ้นกู้ที่รวมดอกเบี้ยค้างรับ (Dirty Price) ดังขั้นตอนต่อไปนี้
ก.วันที่ 1 ม.ค.46 บริษัท A (บริษัททั่วไป) ออกหุ้นกู้มีมูลค่าที่ตราไว้ (Par Value) 1,000 บาท อายุ 2 ปี ครบกำหนดไถ่ถอนในวันที่ 31 ธ.ค.47 อัตราดอกเบี้ย 6% ต่อปี โดยจ่ายดอกเบี้ยทุกวันที่ 1 มิ.ย.และ 1 ธ.ค. ของทุกปี
ข.วันที่ 1 ม.ค.46 บริษัท B (บริษัททั่วไปหรือสถาบันการเงิน) ซื้อหุ้นกู้จากบริษัท A (ตลาดแรก) ตามราคา Par Value และได้รับดอกเบี้ยงวดวันที่ 1 มิ.ย.46 วันที่ 1 ธ.ค.46 และวันที่ 1 มิ.ย.47 แล้ว
ค.วันที่ 1 ต.ค.47 บริษัท C (บริษัทไทย) ซื้อหุ้นกู้ของบริษัท A จากบริษัท B ในราคา 990 บาท (Price Value) ซึ่งประกอบด้วยราคาหุ้นกู้ 970 บาท (เนื่องจากได้รับส่วนลดจากราคา Par Value) และดอกเบี้ยค้างรับตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย.47 1 ต.ค.47 เป็นเงิน 20 บาท
ง. เมื่อถึงกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้ บริษัท C ได้รับส่วนต่างของมูลค่าที่ตราไว้ (Par Value) กับราคาหุ้นกู้ที่รวมดอกเบี้ยค้างรับ (Price Value) เป็นเงิน 10 บาท (1,000 990)
2.การลงทุนในพันธบัตรประเด็นปัญหาตามข้อ 1. นั้น หากเปลี่ยนเป็นพันธบัตรรัฐบาลหรือพันธบัตรรัฐวิสาหกิจ การปฏิบัติทางภาษีอากรก็เป็นเช่นเดียวกัน
1.กรณีบริษัท B (บริษัทไทย) ขายหุ้นกู้ในตลาดรองให้แก่บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล โดยราคาขายเป็นราคาหุ้นกู้ที่รวมดอกเบี้ยค้างรับ (Dirty Price) ผลต่างของมูลค่าหุ้นกู้ที่ตราไว้ (Par Value) กับราคาซื้อหุ้นกู้ที่รวมดอกเบี้ยค้างรับ (Price Value) จำนวน 10 บาท ที่ผู้ซื้อได้รับตามข้อเท็จจริง เป็นเงินได้ทำนองเดียวกับดอกเบี้ยและเป็นผลประโยชน์หรือค่าตอบแทนอื่น ๆ ที่ได้จากสิทธิเรียกร้องในหนี้ทุกชนิดตามมาตรา 40(4)(ก) แห่งประมวลรัษฎากร
2.บริษัท B ซึ่งเป็นนิติบุคคลผู้ขายหุ้นกู้ให้แก่ นาย ก. มีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 15 ของผลต่างระหว่างมูลค่าที่ตราไว้ (Par Value) กับราคาจำหน่าย (Price Value) จำนวน 10 บาท ทั้งนี้ ตามมาตรา 50(2)(ค) แห่งประมวลรัษฎากร
3.บริษัท B ซึ่งเป็นนิติบุคคลผู้ขายหุ้นกู้ให้แก่บริษัท C มีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย ดังต่อไปนี้
3.1 กรณีบริษัท B เป็นธนาคารหรือสถาบันการเงินมีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 1 ของผลต่างระหว่างมูลค่าที่ตราไว้ (Par Value) กับราคาจำหน่าย (Price Value) จำนวน 10 บาท เว้นแต่กรณีบริษัท C ผู้ซื้อหุ้นกู้เป็นธนาคารหรือสถาบันการเงิน ทั้งนี้ ตามข้อ 4(1)(ก) ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป.4/2528ฯ ลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2528 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 106/2545ฯ ลงวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2545
3.2 กรณีบริษัท B เป็นบริษัททั่วไปที่มิใช่ธนาคารหรือสถาบันการเงิน บริษัท B ไม่มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย จากผลต่างระหว่างมูลค่าที่ตราไว้ (Par Value) กับราคาจำหน่าย (Price Value) จำนวน 10 บาท ตามประมวลรัษฎากร แต่อย่างใด
4.การหักภาษี ณ ที่จ่าย จากการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลหรือพันธบัตรรัฐวิสาหกิจ ให้ถือปฏิบัติเช่นเดียวกับการลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทตามข้อ 1 ถึง ข้อ 3 ข้างต้น