กค 0702/4123
24 กรกฎาคม 2566
มาตรา 70 มาตรา 70 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร
-
1. ธนาคารจะทำการเพิ่มเงินกองทุนโดยออกหุ้นกู้เพื่อยืมเงินจากธนาคารสำนักงานใหญ่ ในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยธนาคารจะนำเงินดังกล่าวมาเป็นเงินกองทุน (ทุน หรือเงินทุน เพื่อดำรงสินทรัพย์ตามกฎหมาย) ตามมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ. 2551 และธนาคารต้องชำระดอกเบี้ยในอัตราที่เหมาะสมให้แก่สำนักงานใหญ่ สำหรับหุ้นกู้ที่ออกนั้น
2. ธนาคารเข้าใจว่าการจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้จากการกู้เงินเพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าว มีภาระภาษี ดังนี้
2.1 ดอกเบี้ยที่ธนาคารจ่ายชำระให้สำนักงานใหญ่ ไม่ถือเป็นการจำหน่ายกำไร ตามมาตรา 70 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร
2.2 ดอกเบี้ยที่ธนาคารจ่ายชำระตามข้อ 2.1 ธนาคารมีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 10 ตามมาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับข้อ 11 แห่งอนุสัญญาระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสหรัฐอเมริกา เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวข้องกับภาษีเก็บจากเงินได้ (อนุสัญญาระหว่างประเทศไทยและประเทศสหรัฐอเมริกา)
2.3 ดอกเบี้ยที่ธนาคารจ่ายชำระให้สำนักงานใหญ่ สามารถหักเป็นค่าใช้จ่ายทางภาษีได้
2.4 กรณีธนาคารนำเงินกำไรสะสมเพิ่มเป็นเงินกองทุน ไม่ถือเป็นการจำหน่ายกำไร จึงไม่ต้องนำส่งภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 10 ตามมาตรา 70 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร
1. กรณีที่ธนาคารออกหุ้นกู้เพื่อกู้ยืมเงินจากสำนักงานใหญ่ และมีการจ่ายดอกเบี้ยออกไปให้สำนักงานใหญ่ในประเทศสหรัฐอเมริกา แม้ว่าธนาคารสำนักงานใหญ่และสาขาในประเทศไทยจะมีฐานะเป็นนิติบุคคลเดียวกันก็ตาม แต่โดยที่อนุสัญญาระหว่างประเทศไทยและประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนได้มีข้อบทในการกำหนดเงินได้ และค่าใช้จ่ายของสาขาซึ่งถือเป็นสถานประกอบการถาวรในประเทศไทย เสมือนหนึ่งเป็นนิติบุคคลต่างหากจากสำนักงานใหญ่ ดังนั้น เมื่อธนาคารจ่ายดอกเบี้ยออกไปให้สำนักงานใหญ่ ธนาคารจึงมีสิทธินำดอกเบี้ยนั้น มาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิของธนาคารได้ และธนาคารมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราร้อยละ 10 ของดอกเบี้ย ตามมาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากร และข้อ 11 วรรคสอง แห่งอนุสัญญาระหว่างประเทศไทยและประเทศสหรัฐอเมริกาด้วย
2. กรณีที่ธนาคารนำเงินกำไรสะสมเพิ่มเป็นเงินกองทุน อันเป็นส่วนของสำนักงานใหญ่ในทางบัญชีแล้ว ตามมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ. 2551 ถือได้ว่าเป็นการโอนเงินกำไรสะสมของธนาคารไปเป็นส่วนของสำนักงานใหญ่เพื่อดำรงเป็นสินทรัพย์ไว้ในประเทศไทย เข้าลักษณะเป็นการจำหน่ายกำไรจากบัญชีกำไรขาดทุนหรือบัญชีอื่นใดไปตั้งเป็นยอดเจ้าหนี้ในบัญชีของบุคคลใดในต่างประเทศ จึงต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลโดยหักภาษีจากจำนวนเงินที่จำหน่ายนั้นในอัตราร้อยละ 10 ตามมาตรา 70 ทวิ (1) แห่งประมวลรัษฎากร