กค 0702/2212
22 มีนาคม 2553
-
73/37222
สำนักงานสรรพากรภาค (สภ.) หารือเกี่ยวกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีการจัดตั้งคณะบุคคล ราย คณะบุคคลย่อย ร. (คณะบุคคลฯ) เพื่อประกอบการคืนเงินภาษีอากร สำหรับปีภาษี 2551 ซึ่งถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย เป็นจำนวน 3,724.80 บาท โดยมี รายละเอียดสรุปความได้ดังนี้
1. คณะบุคคลฯ จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2548 มีผู้ร่วมคณะจำนวน 3 คน ได้แก่ นาง พ. (นาง พ.) เป็นผู้จัดการ คณะบุคคลฯ นาง ณ. (นาง ณ.) และนางสาว ว.(นางสาว ว.) มีวัตถุประสงค์เพื่อรับโอนรายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของบริษัท ธ. จำกัด (มหาชน) สาขาโรงพยาบาล ห. (ธนาคารฯ) ซึ่งเป็นค่าตอบแทนเนื่องจากการส่งเสริมการขาย แนะนำ ผลิตภัณฑ์ของบริษัทในเครือและพันธมิตรผ่านธนาคารฯ (คอมมิชชั่น) โดยไม่ได้มีการดำเนินกิจการอื่นใด
2. คณะบุคคลฯ จะรับโอนรายได้ตาม 1. ผ่านบัญชีเงินฝากของธนาคารฯ ในอัตราร้อยละ 10 ถึง 20 ของค่าส่งเสริมการขาย ในแต่ละผลิตภัณฑ์ ซึ่งเงินที่โอนเข้าบัญชีดังกล่าว เป็นเงินกองกลางเพื่อนำไปใช้เป็นสวัสดิการของพนักงานธนาคารฯ ในสาขา โรงพยาบาล ห. ทั้งหมด ไม่ได้มีการนำไปใช้เพื่อลงทุนในกิจการอื่น และไม่มีการนำเงินมาแบ่งปันผลกำไรแต่อย่างใด ในการเบิก จ่ายเงินในบัญชีนั้น นาง พ. ผู้จัดการคณะบุคคลฯ จะเป็นผู้ดำเนินการเบิกจ่าย ซึ่งต้องมีพนักงานของธนาคารฯ อีก 2 คน ลงลาย มือชื่อเป็นพยาน แต่นาง ณ. และนางสาว ว. หุ้นส่วนในคณะบุคคลฯ ไม่ต้องลงลายมือชื่อแต่อย่างใด
3. เนื่องจากนาง ณ. และนางสาว ว. หุ้นส่วนในคณะบุคคลฯ ได้ย้ายไปทำงานที่สาขาอื่น แต่ยังมีส่วนร่วมกับคณะบุคคลฯ ในการลงลายมือชื่อเพื่อขอคืนภาษี และเข้าร่วมประชุมประจำปีของคณะบุคคลฯ ดังนั้น จึงขอหารือว่า กรณีดังกล่าวถือว่าสภาพของคณะบุคคลฯ ยังมีอยู่หรือไม่ และถือว่าการจัดตั้งคณะบุคคลฯ ตามข้อเท็จจริงข้างต้น มีวัตถุประสงค์ในการแบ่งปันผลกำไรหรือผลตอบแทนจากการดำเนินกิจการหรือไม่
สัญญาจัดตั้งคณะบุคคลเป็นสัญญาซึ่งบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปตกลงเข้ากันเพื่อกระทำกิจการร่วมกัน แต่ขาดสาระสำคัญ ของสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญตามมาตรา 1012 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ คือ ไม่มีลักษณะหรือวัตถุประสงค์ ที่จะแบ่งปันผลกำไรจากกิจการ ดังนั้น หาก สภ. พิจารณาข้อเท็จจริงแล้ว ปรากฏว่า คณะบุคคลฯ จัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อรับโอนรายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของธนาคารฯ สาขาโรงพยาบาล ห. เงินที่โอนเข้าบัญชีดังกล่าว จะเป็นเงิน กองกลางเพื่อนำไปใช้เป็นสวัสดิการของพนักงานธนาคารฯ ในสาขาโรงพยาบาลหาดใหญ่ทั้งหมด ไม่ได้มีการนำไปใช้เพื่อลงทุน ในกิจการอื่น และไม่มีการนำเงินมาแบ่งปันผลกำไรแต่อย่างใดนั้น ย่อมเข้าลักษณะเป็นสัญญาจัดตั้งคณะบุคคล
เนื่องจากคณะบุคคลเป็นหน่วยภาษีที่กำหนดขึ้นตามประมวลรัษฎากร เพื่อให้ครอบคลุมการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่ไม่มีกฎหมายใดบัญญัติเกี่ยวกับการจัดการคณะบุคคลไว้ จึงต้องนำบทกฎหมายใกล้เคียงอย่างยิ่งมาใช้บังคับ ซึ่งได้แก่ บทบัญญัติว่าด้วยห้างหุ้นส่วนสามัญตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังนั้น ในการเลิกคณะบุคคลต้องพิจารณาตาม มาตรา 1055 และมาตรา 1056 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังนี้
มาตรา 1055 บัญญัติว่า "ห้างหุ้นส่วนสามัญย่อมเลิกกันด้วยเหตุดังกล่าวต่อไปนี้
(1) ถ้าในสัญญาทำไว้มีกำหนดกรณีอันใดเป็นเหตุที่จะเลิกกัน เมื่อมีกรณีนั้น
(2) ถ้าสัญญาทำไว้เฉพาะกำหนดกาลใด เมื่อสิ้นกำหนดกาลนั้น
(3) ถ้าสัญญาทำไว้เฉพาะเพื่อทำกิจการอย่างหนึ่งอย่างใดแต่อย่างเดียว เมื่อเสร็จการนั้น
(4) เมื่อผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดคนหนึ่งให้คำบอกกล่าวแก่ผู้เป็นหุ้นส่วนคนอื่นๆ ตามกำหนดดังบัญญัติไว้ในมาตรา 1056
(5) เมื่อผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดคนหนึ่งตาย หรือล้มละลาย หรือตกเป็นผู้ไร้ความสามารถ"
มาตรา 1056 บัญญัติว่า "ถ้าห้างหุ้นส่วนได้ตั้งขึ้นไม่มีกำหนดกาลอย่างหนึ่งอย่างใดเป็นยุติ ท่านว่าจะเลิกได้ต่อเมื่อ ผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดคนหนึ่งบอกเลิกเมื่อสิ้นรอบปีในทางบัญชีเงินของห้างหุ้นส่วนนั้น และผู้เป็นหุ้นส่วนนั้นต้องบอกกล่าวความจำนง จะเลิกล่วงหน้าไม่น้อยกว่าหกเดือน"
กรณีนาง ณ. และนางสาว ว. หุ้นส่วนในคณะบุคคลฯ ได้ย้ายไปทำงานที่สาขาอื่น แต่ยังมีส่วนร่วมกับคณะบุคคลฯ โดยไม่ปรากฏว่า มีเหตุเลิกตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายข้างต้น คณะบุคคลฯ จึงยังคงมีสภาพเป็นคณะบุคคลตามประมวลรัษฎากรต่อไป