ภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีการส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ

535 Views

เลขที่หนังสือ

กค 0706/พ./2808

วันที่

3 เมษายน 2549

เลขตู้

69/34053

ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

มาตรา 3 อัฏฐ และมาตรา 89/1 แห่งประมวลรัษฎากร

ข้อหารือ

     1. บริษัทฯ ประกอบกิจการส่งออกยางรถยนต์ไปต่างประเทศ เดือนสิงหาคม 2547
บริษัทฯ ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.30) แสดงยอดขายจากการส่งออก
จำนวน 1,532,000.00 บาท ยอดซื้อ 1,370,980.00 บาท ขอคืนภาษีจำนวน 95,968.60 บาท
จากการตรวจสอบเอกสารขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มปรากฏว่า บริษัทฯ ได้รับคำสั่งซื้อยางรถยนต์
2 ขนาด ได้แก่ ยาง 16PR จำนวน 80 เส้นและยาง 18PR จำนวน 180 เส้น ซึ่งบริษัทฯ ได้สั่ง
ซื้อยางรถยนต์ทั้ง 2 ขนาดจากบริษัท ส. โดยให้จัดส่งไปยังท่าเรือกรุงเทพเพื่อดำเนินการส่งออก
แล้ว แต่ใบขนสินค้าขาออกระบุว่า เป็นการส่งออกยางรถยนต์ชนิด 16PR จำนวน 260 เส้นซึ่ง
ไม่ตรงตามชนิดของยางรถยนต์ที่บริษัทฯ ได้สั่งซื้อเพื่อส่งออก
      2.รายงานภาษีขายและแบบ ภ.พ.30 แสดงยอดขายจากการส่งออกมูลค่า 1,532,000.00
บาท แต่ใบขนสินค้าขาออกและใบกำกับสินค้าแสดงราคา เอฟ.โอ.บี. เป็นเงินจำนวน 906,528.56
บาท

แนววินิจฉัย

     1. กรณีการส่งสินค้าออกนอกราชอาณาจักรอันจะได้รับสิทธิเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรา
ร้อยละ 0 นั้น ต้องปรากฏว่า ผู้ประกอบการจดทะเบียนได้ดำเนินพิธีการศุลกากรส่งสินค้าออก
นอกราชอาณาจักรเพื่อส่งสินค้าไปต่างประเทศซึ่งผู้ประกอบการจดทะเบียนอาจพิสูจน์หลักฐาน
ต่างๆ ได้ตามแนวปฏิบัติของกรมสรรพากรตามข้อ 2 ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.97/2543ฯ
ลงวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ.2543 มาแสดง เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า บริษัทฯ มีหลักฐานการสั่งซื้อ
และใบกำกับภาษีซื้อสำหรับยางรถยนต์ชนิด 16PR จำนวน 260 เส้น แต่หลักฐานตามใบขนสินค้า
ขาออกของกรมศุลกากรสำหรับส่งออกยางรถยนต์ดังกล่าวระบุว่า เป็นการส่งออก ยางรถยนต์
ชนิด 16PR จำนวน 80 เส้น ส่วนอีก 180 เส้นเป็นยางรถยนต์ชนิด 18PR กรณีย่อมถือว่า เป็น
การขัดกันของเอกสาร เมื่อเป็นการส่งสินค้าออกไปขายนอกราชอาณาจักรจึงต้องถือว่า ใบขน
สินค้าขาออกซึ่งเป็นเอกสารราชการที่เจ้าพนักงานกรมศุลกากรเป็นผู้ทำเป็นเอกสารที่แท้จริง
และถูกต้องโดยถืออนุโลมตามมาตรา 127 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เมื่อ
ใบขนสินค้าขาออกของกรมศุลกากรระบุว่า ยางรถยนต์ชนิด 16PR ที่บริษัทฯ ส่งออกไป
ประเทศเวียดนามมีจำนวนเพียง 80 เส้น ส่วนอีก 180 เส้นเป็นยางรถยนต์ชนิด 18PR กรณ
ีจึงต้องถือตามใบขนสินค้าขาออกของกรมศุลกากรซึ่งเป็นเอกสารราชการ เมื่อบริษัทฯ ไม่ม
ีหลักฐานการส่งออกยางรถยนต์ชนิด 16PR จำนวน 180 เส้นมาแสดง อีกทั้งปรากฏตามรายงาน
สินค้าและวัตถุดิบว่า มีการจ่ายยางรถยนต์ชนิดดังกล่าวออกจากรายงานสินค้าและวัตถุดิบโดย
ไม่มีการลงรายงานภาษีขายตามมูลค่ายางรถยนต์ดังกล่าว จึงต้องถือว่า ยางรถยนต์ชนิด 16PR
จำนวน 180 เส้นนั้นขาดจากรายงานสินค้าและวัตถุดิบเข้าลักษณะเป็นการขายสินค้าซึ่งอยู่ใน
บังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7.0 โดยมูลค่าของฐานภาษีให้ถือตามราคาตลาด
ของสินค้าในวันที่ความรับผิดเกิดขึ้น ทั้งนี้ ตามมาตรา 77/1(8)(จ) มาตรา 77/2 มาตรา 79/3(3)
และมาตรา 80 แห่งประมวลรัษฎากร
      2.กรณีการบันทึกรายงานภาษีขายสำหรับการส่งออกสินค้าซึ่งได้รับสิทธิเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
ในอัตราร้อยละ 0 นั้น หากในเดือนภาษีสิงหาคมบริษัทฯ มีหลักฐานการส่งออกสินค้าที่ระบุมูลค่า
เป็นเงิน 21,960.00 ดอลลาร์สหรัฐ บริษัทฯ จะต้องนำเงินตราต่างประเทศจำนวนดังกล่าวมาเป็น
ฐานภาษีในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยให้คำนวณเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยในรายงาน
ภาษีขาย ดังต่อไปนี้
     (ก). ถ้าได้รับเงินตราต่างประเทศจากการส่งออกสินค้าในขณะที่ออกใบกำกับภาษี
และได้มีการขายเงินตราต่างประเทศที่ได้รับชำระนั้นเป็นเงินตราไทยในเดือนที่ความรับผิดในการ
เสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้นให้ถือเงินตราไทยจากการขายนั้นเป็นมูลค่าของฐานภาษีที่ได้รับหรือ
พึงได้รับจากการขายสินค้า เว้นแต่มิได้มีการขายเงินตราต่างประเทศในเดือนที่ความรับผิด
ในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้นให้ถือตามอัตราถัวเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์รับซื้อซึ่งธนาคาร
แห่งประเทศไทยได้คำนวณไว้ในวันทำการสุดท้ายของเดือนที่ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
เกิดขึ้น ทั้งนี้ ตามมาตรา 79/4(1) แห่งประมวลรัษฎากร
      (ข). ถ้ายังไม่ได้รับเงินตราต่างประเทศจากการส่งออกสินค้าในขณะที่ออกใบกำกับ
ภาษีให้คำนวณเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดตามมาตรา 9 แห่ง
ประมวลรัษฎากร
      กรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนคำนวณเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยตาม (ก)
หรือ (ข) ในเดือนภาษีที่ลงรายงานแล้ว ให้ถือมูลค่าของสินค้าซึ่งได้คำนวณเป็นเงินตราไทยเพื่อ
การยื่นแบบแสดงรายการภาษีของเดือนภาษีนั้น ถ้าได้รับชำระราคาค่าสินค้าเป็นเงินตรา
ต่างประเทศในเดือนภาษีอื่นหรือได้มีการขายเงินตราต่างประเทศในเดือนภาษีอื่น ผู้ประกอบการ
จดทะเบียนไม่ต้องคำนวณเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยในเดือนภาษีที่ได้รับเงินตรา
ต่างประเทศหรือในเดือนภาษีที่มีการขายเงินตราต่างประเทศ
      ทั้งนี้ ตามมาตรา 9 แห่งประมวลรัษฎากรประกอบกับประกาศกระทรวงการคลัง
เรื่อง อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยตามมาตรา 9 แห่งประมวลรัษฎากร
ลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2548 ซึ่งกรมสรรพากรได้มีแนวปฏิบัติตามข้อ 7 ของคำสั่ง
กรมสรรพากรที่ ป.132/2548 เรื่อง การคำนวณเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยตามมาตรา
9 มาตรา 65 ทวิ (5) มาตรา 65 ทวิ (8) และมาตรา 79/4 แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 28
กันยายน พ.ศ. 2548