กค 0706กม.03)/451
31 พฤษภาคม 2548
68/33442
มาตรา 57 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร
สำนักตรวจสอบภาษีกลางได้รับโอนข้อมูลคำพิพากษา ราย นาย ก. (สามี) จากสำนักบริหารภาษีธุรกิจขนดใหญ่ให้ดำเนินการตรวจสอบและประเมินภาษีจากนาง ข. (ภริยา) ที่กรมสรรพากรได้ประเมินภาษีอากรจากนาย ก. สำหรับปีภาษี 2539 จำนวน 7,330,476 .- บาท กรณีมิได้นำเงินได้ที่ได้รับจากการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายของนาง ข. (ภริยา) จำนวน 11,300,000 .- บาท มารวมคำนวณเป็นเงินได้เพื่อเสียภาษี ซึ่งศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานฯ โดยเห็นว่าการสมรสระหว่างนาย ก. และนาง ข. เป็นโมฆะเพราะนาง ข. มีคู่สมรสอยู่แล้วขณะที่สมรสกับนาย ก. ดังนั้น เงินได้ของนาง ข. ที่ได้รับจึงไม่อาจถือเป็นเงินได้ของสามีตามมาตรา 57 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร นาย ก. จึงไม่มีหน้าที่และความรับผิดชอบในการยื่นแบบแสดงรายการและเสียภาษี สำหรับเงินได้ จำนวน 11,300,000.- บาท
สำนักตรวจสอบภาษีกลางมีความเห็นเป็น 3 แนวทางดังนี้
แนวทางที่ 1 ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลฎีกาที่เห็นว่าการสมรสระหว่างนาง ข. และนาย ก. เป็นโมฆะ ดังนั้น ในปี พ.ศ. 2539 นาง ข. จึงไม่มีคู่สมรส อีกทั้งนาง ข. ไม่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีสำหรับปี 2539 จึงเห็นควรออกหมายเรียกตรวจสอบ และประเมินภาษีอากร นาง ข. ต่อไป
แนวทางที่ 2 จากข้อเท็จจริง การสมรสระหว่างนาย ก. กับนาง ข. เป็นการสมรสโดยชอบด้วยกฎหมาย เงินได้ของนาง ข. จึงถือเป็นเงินได้ของนาย ก. ตามมาตรา 57 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร แต่ศาลฎีกาได้พิพากษาให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานฯ และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ โดยเห็นว่าการสมรสเป็นโมฆะ การประเมินของเจ้าพนักงานฯ ย่อมเป็นที่สิ้นสุด ประกอบกับนาย ก. ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับปี 2539 จึงไม่อาจดำเนินการแก่นาย ก. ได้อีกเนื่องจากหมดอายุความการออกหมายเรียก อีกทั้งยังเป็นการตรวจสอบซ้ำในประเด็นความผิดเดิม จึงเห็นควรยุติการตรวจสอบภาษีอากรรายนี้
แนวทางที่ 3 จากคำพิพากษาของศาลจังหวัดนนทบุรี แผนกคดีเยาวชนและครอบครัว ศาลสั่งให้การสมรสเป็นโมฆะ ซึ่งเป็นการดำเนินคดีโดยศาลพิจารณาคดีโจทก์ไปฝ่ายเดียว เนื่องจากจำเลยคือนาง ข. ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ซึ่งผลแห่งคดีเป็นเหตุให้ศาลฎีกาเพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานฯ และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ แต่เมื่อเจ้าพนักงานฯ ได้เชิญพบนาย ค. ก็ปรากฏข้อเท็จจริงว่า นาย ค. จดทะเบียนหย่ากับนาง ข. ก่อนจดทะเบียนสมรสกับนาย ก. จึงเห็นว่ามีข้อน่าสงสัยในประเด็นแห่งคดี ประกอบกับพฤติการณ์ของนาย ก. ที่ปฏิเสธความรับผิดมาแต่ต้น อีกทั้งในระหว่างการพิจารณา นาย ก. ได้เบิกความอ้างนาย ง. ข้าราชการกรมสรรพากร เป็นพยาน จึงเห็นควรส่งเรื่องให้ส่วนกฎหมาย สำนักงานสรรพากรภาค 1 ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
สำนักตรวจสอบภาษีกลาง ขอทราบว่า หากไม่สามารถดำเนินการตามแนวทางทั้ง 3 ได้แล้ว จะต้องดำเนินการอย่างไรจึงจะถูกต้อง
1.แม้ว่าข้อเท็จจริงตามหลักฐานทะเบียนการหย่าปรากฏว่านาง ข. ได้หย่าขาดจากนาย ค. เรียบร้อยแล้ว ภายหลังจึงได้จดทะเบียนสมรสกับนาย ก. ดังนั้น นาง ข. จึงเป็นภริยาของนาย ก. ในปี 2539 ซึ่งนาง ข. มีเงินได้จากากรเรียกค่าเสียหายในการฟ้องคดีเป็นเงิน 11,300,000 บาท นาง ข. มิได้ยื่นแบบแสดงรายการและเสียภาษีสำหรับเงินจำนวนดังกล่าว เจ้าพนักงานของสำนักตรวจสอบภาษีกลางจึงได้ออกหมายเรียกและประเมินภาษีในนามนาย ก. ในฐานะสามีต้องรับผิดยื่นแบบและเสียภาษีในเงินดังกล่าวซึ่งถือว่าเป็นเงินได้ของสามี ตามมาตรา 57 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร แต่ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษา ว่าการสมรสระหว่างนาย ก. กับนาง ข. เป็นโมฆะจึงเพิกถอนหนังสือแจ้งการประเมินและเพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์ ดังนั้น หนังสือแจ้งการประเมินราย นาย ก. จึงสิ้นผลตามคำพิพากษาของศาลฎีกาอันถือเป็นการสิ้นสุดแล้ว
2.นาง ข. มีเงินได้จำนวน 11,300,000 บาท ในปี 2539 แต่มิได้ยื่นแบบแสดงรายการภายในกำหนดเวลา จึงเห็นควรออกหมายเรียกตามมาตรา 23 แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งมิได้กำหนดเวลาบังคับไว้ เจ้าพนักงานประเมินจึงมีอำนาจออกหมายเรียกและประเมินภาษีได้ภายในอายุความสิบปี ตามมาตรา 193/31 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ดังนั้น จึงเห็นควรออกหมายเรียกและประเมินภาษี ราย นาง ข. ตามความเห็นในแนวทางที่ 1 ของสำนักตรวจสอบภาษีกลาง