ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีจ่ายค่านายหน้าจากการให้บริการจัดผู้เชี่ยวชาญ

448 Views

เลขที่หนังสือ

กค 0706(กม.03)/111

วันที่

31 มกราคม 2548

เลขตู้

68/33325

ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

มาตรา 41 มาตรา 50 มาตรา 76 ทวิ มาตรา 77/2 และมาตรา 83/6(1)

ข้อหารือ

      1.บริษัทฯ ได้จดทะเบียนในประเทศไทย ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับสถานีบริการน้ำมันและจำหน่ายน้ำมันหล่อลื่นได้ว่าจ้างให้ บริษัท K ซึ่งเป็นนิติบุคคลจดทะเบียนในประเทศอังกฤษเพื่อจัดหาผู้เชี่ยวชาญชาวต่างชาติ 4 คน เข้ามาทำงานในประเทศไทย โดยบริษัท K จำกัด จะทดรองจ่ายเงินเดือนและค่าตอบแทนให้ผู้เชี่ยวชาญไปก่อนแล้วจึงเรียกเก็บคืนจากบริษัทฯ โดยในใบแจ้งหนี้จะเรียกเก็บค่าบริการเพิ่มอีกร้อยละ 5 ของจำนวนเงินเดือนและค่าตอบแทนที่จ่ายจริงรวมมาในใบแจ้งหนี้ด้วย บริษัทฯ ชี้แจงข้อเท็จจริงเพิ่มเติม สรุปได้ว่า
          1.1 บริษัท K เป็นคู่สัญญากับบริษัทฯ ในการจัดหาชาวต่างชาติและจ่ายค่าจ้างให้แก่คนต่างชาติที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย โดยจะเรียกคืนค่าจ้างชาวต่างชาติที่จ่ายแทนไปก่อนแล้วรวมคิดค่าบริการดำเนินการจากบริษัทฯ
          1.2 ความสัมพันธ์ระหว่างผู้เชี่ยวชาญต่างชาติกับบริษัทต่างประเทศนั้นผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศจะอยู่ในบังคับของบริษัทต่างประเทศ ตามสัญญาจ้างและบริษัทต่างประเทศสามารถที่จะโยกย้ายไปอยู่ที่ใดก็ได้ตามคำสั่งหรือการมอบหมายงาน สำหรับการบริหารงานธุรกิจสถานีน้ำมันของบริษัทผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศต้องดำเนินการภายใต้นโยบายที่ถูกกำหนดไว้ในสัญญาจ้างโดยมีระยะเวลาในการมอบหมายงานให้มาประจำที่ บริษัทฯ มีกำหนดเวลา 4 ปี ซึ่งอาจยืดเวลาออกไปอีก 1 ปี
          1.3 คนต่างชาติที่เข้ามาทำงานยังจะได้รับการพิจารณาสิทธิประโยชน์หรือความดีความชอบจากบริษัทต่างประเทศ ในระหว่างที่ได้รับมอบหมายงานในประเทศไทย
      จากข้อเท็จจริงข้างต้น บริษัทฯ จึงหารือว่า
      (1) ค่าบริการร้อยละ 5 ดังกล่าว เป็นเงินได้ตามมาตรา 40(2) แห่งประมวลรัษฎากร บริษัทฯ ไม่มีหน้าที่จะต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ถูกต้องหรือไม่
      (2) ค่าบริการร้อยละ 5 นี้ จะต้องนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มอย่างไร หรือไม่

แนววินิจฉัย

      1.ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีภาระภาษีของผู้เชี่ยวชาญชาวต่างประเทศ
      กรณีผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศเข้ามาทำงานเป็นผู้บริหารด้านการตลาดทางธุรกิจน้ำมันในประเทศไทย ผู้เชี่ยวชาญดังกล่าวมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในประเทศไทยตามมาตรา 41 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลรัษฎากร หากบริษัทฯ จำกัด เป็นผู้จ่ายเงินได้ดังกล่าว บริษัทฯ มีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 50 แห่งประมวลรัษฎากร
      อย่างไรก็ดี หากผู้เชี่ยวชาญดังกล่าวเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศที่มีอนุสัญญาภาษีซ้อนกับประเทศไทย กรณีจำต้องพิจารณาถึงเงื่อนไขการจัดเก็บภาษีตามอนุสัญญาฯ ดังกล่าวด้วย
      2.ภาษีเงินได้นิติบุคคล
      ข้อเท็จจริงปรากฏว่า บริษัท K จดทะเบียนจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายของเจอร์ซี (Jersey) ได้จัดส่งบุคลากรให้เข้ามาทำงานให้บริษัทฯ ในประเทศไทย โดยบริษัทฯ ต้องจ่ายเงินเดือนให้แก่บุคลากรดังกล่าวและต้องจ่ายค่าตอบแทนให้แก่ บริษัท K อีกร้อยละ 5 ของจำนวนเงินเดือนบุคลากร กรณีจึงเข้าลักษณะเป็นการประกอบกิจการในประเทศไทยตามมาตรา 76 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร บริษัท K จึงมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลโดยบุคลากรที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยเป็นผู้มีหน้าที่และความรับผิดในการยื่นเสียภาษี
      เมื่อบริษัทฯ จ่ายเงินได้ดังกล่าวออกไปให้กับบริษัท K จึงมีหน้าที่ต้องหักและนำส่งภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราร้อยละ 5.0 ของเงินได้ตามข้อ 12 ของคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.4/2528ฯ
      เนื่องจากเจอร์ซี่ (Jersey) ไม่อยู่ในคำนิยามของคำว่า สหราชอาณาจักร ตามข้อ 3 วรรค 1 (ก) แห่งอนุสัญญาระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรอังกฤษและไอร์แลนด์เหนือ เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการหลีกเลี่ยงรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีที่เก็บจากเงินได้ และประเทศไทยก็ไม่มีอนุสัญญาภาษีซ้อนกับเจอร์ซี่ กรณีจึงไม่มีประเด็นการยกเว้นตามอนุสัญญาภาษีซ้อนต้องพิจารณาแต่อย่างใด
      3.ภาษีมูลค่าเพิ่ม
      การให้บริการของบริษัท K เข้าลักษณะเป็นการประกอบกิจการ ซึ่งอยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 77/2 แห่งประมวลรัษฎากร โดยไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นการชั่วคราวตามมาตรา 85/3 แห่งประมวลรัษฎากร เมื่อบริษัทฯ จ่ายค่าบริการตามสัญญาออกไปให้กับบริษัท K จึงมีหน้าที่ต้องนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7.0 ของค่าบริการ ตามมาตรา 83/6(1) แห่งประมวลรัษฎากร