การขอคืนภาษีกรณีปรับปรุงโครงสร้างหนี้

400 Views

เลขที่หนังสือ

กค 0706/11440

วันที่

28 ธันวาคม 2547

เลขตู้

67/33252

ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

มาตรา 744(2) ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 418) พ.ศ. 2547

ข้อหารือ

      1.นาง ช. ประกอบธุรกิจจัดสรรที่ดิน โดยกู้เงินจากธนาคารและได้จำนองที่ดินที่จัดสรรไว้กับธนาคารฯ ตามสัญญาจำนองฉบับลงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2537 ต่อมานาง ช. ได้ขออนุญาตจัดสรรที่ดินต่อสำนักงานที่ดินและได้ขอให้ธนาคารฯ ปลอดจำนองที่ดินเพื่อให้เป็นไปตามประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286 ลงวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2515 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะนั้น โดยกำหนดให้ที่ดินที่จะขออนุญาตจัดสรรต้องปลอดภาระผูกพันใดๆ ธนาคารฯ ได้ปลอดจำนองที่ดินดังกล่าวให้แก่นาง ช. ตามข้อตกลงปลอดจำนอง ลงวันที่ 25 ตุลาคม 2537 โดยได้จดทะเบียนปลอดจำนองไว้กับสำนักงานที่ดิน จากนั้นคณะกรรมการจัดสรรที่ดิน จึงออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินให้
      2.นาง ช. ได้ทำสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับธนาคารฯ โดยต้องชำระหนี้ให้ธนาคารฯ จำนวนเงิน 9,177,180.11 บาท ให้เสร็จสิ้นภายในเดือนธันวาคม 2546 และวันที่ 14 มิถุนายน 2547 นาง ช. ได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 67425 อำเภอเมืองเชียงรายพร้อมสิ่งปลูกสร้างทาวเฮาส์ 2 ชั้น ให้แก่นางสาว น. และขอรับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษี ตามพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 418) พ.ศ. 2547 แต่เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเชียงราย เรียกเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจำนวนเงิน 15,842 บาท ภาษีธุรกิจเฉพาะจำนวนเงิน 21,120 บาท รวมเป็นเงินภาษีที่เรียกเก็บ 36,962 บาท เนื่องจากพิจารณาเห็นว่า การจดทะเบียนขายที่ดินดังกล่าวเป็นการโอนอสังหาริมทรัพย์ให้แก่บุคคลอื่นเพื่อชำระหนี้สถาบันการเงิน ที่อยู่ในหลักเกณฑ์ได้ลดค่าธรรมเนียมตามมติคณะรัฐมนตรี แต่ไม่ได้รับยกเว้นภาษีตามพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 418) พ.ศ. 2547 เนื่องจากอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวพ้นจากการจำนองแล้ว

แนววินิจฉัย

      1.กรณีนาง ช. กู้เงินธนาคาร โดยนำโฉนดที่ดินที่จัดสรรไปจดทะเบียนจำนองกับธนาคารฯ เป็นประกันการกู้ยืมเงิน และต่อมาได้ขอให้ธนาคารฯ ดำเนินการปลอดจำนองที่ดินให้ เนื่องจากต้องปฏิบัติตามประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ในขณะนั้น กำหนดให้ที่ดินที่ผู้ขอทำการจัดสรรมีกรรมสิทธิ์แต่มีภาระผูกพันอยู่ ผู้ขอต้องจัดการให้ที่ดินที่ขอจัดสรรปราศจากภาระผูกพัน จึงจะอนุญาตให้จัดสรรได้ เมื่อนาง ช. และธนาคารฯ ได้ทำบันทึกข้อตกลงเป็นหนังสือให้ที่ดินที่จำนองเป็นประกันหนี้เงินกู้พ้นจากการจำนอง และได้จดทะเบียนปลอดจำนองต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้รับจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมแล้ว โดยยังมิได้ชำระหนี้ จึงเป็นการปลอดจำนองให้แก่ผู้จำนองด้วยหนังสือ เป็นเหตุให้จำนองระงับสิ้นไป ตามมาตรา 744(2) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แม้ธนาคารฯ จะได้ยึดต้นฉบับโฉนดที่ดินที่ปลอดจำนองไว้ ก็ไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่ธนาคารฯ ที่จะสามารถบังคับชำระหนี้เอาจากที่ดินนั้นได้ แต่หนี้สัญญากู้เงินที่เป็นหนี้ประธานยังคงมีอยู่ เจ้าหนี้มีสิทธิฟ้องเรียกหนี้ประธานได้
      2.กรณีการโอนอสังหาริมทรัพย์ที่จะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีธุรกิจเฉพาะและอากรแสตมป์ ตามมาตรา 8 แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 418) พ.ศ. 2547 จะต้องเป็นการโอนอสังหาริมทรัพย์ของลูกหนี้ของสถาบันการเงินให้แก่ผู้อื่นซึ่งมิใช่เจ้าหนี้ที่เป็นสถาบันการเงิน โดยลูกหนี้ของสถาบันการเงินต้องนำเงินได้นั้นไปชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ที่เป็นสถาบันการเงินซึ่งได้ดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามหลักเกณฑ์การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงิน ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกำหนด ทั้งนี้ เฉพาะส่วนที่ไม่เกินกว่าหนี้ที่ค้างชำระอยู่กับสถาบันการเงินหรือมีภาระผูกพันตามสัญญาประกันหนี้กับสถาบันการเงิน และการโอนอสังหาริมทรัพย์ต้องเป็นการกระทำในระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2547 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2547 และต้องเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ลูกหนี้นำมาจำนองเป็นประกันหนี้ของสถาบันการเงินอยู่ก่อนวันที่ 1 พฤศจิกายน 2543 ในกรณีของนาง ช. แม้ที่ดินจะได้จดจำนองไว้กับธนาคารฯ ก่อนวันที่ 1 พฤศจิกายน 2543 แต่ได้ปลอดจำนองก่อนทำสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ กรณีจึงไม่เข้าลักษณะการจำนองเป็นประกันหนี้ตามความหมายของพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 418) พ.ศ.2547 ซึ่งภาระจำนองจะต้องมีอยู่จนกว่าจะได้มีการทำสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้และได้จดทะเบียนโอนขายให้ผู้อื่นที่มิใช่เจ้าหนี้ที่เป็นสถาบันการเงิน ดังนั้น นาง ช. จึงไม่มีสิทธิได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ สำหรับการโอนอสังหาริมทรัพย์และการกระทำตราสารตามพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 418) พ.ศ.2547 และไม่มีสิทธิได้รับคืนภาษีที่ได้ชำระในขณะจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมแต่ประการใด